จะว่าไปแล้วที่เขียนๆไปนั้นล้วนแต่จะมีเพียงการนำเสนอเพียงด้านเดียว ซึ่งบางครั้งกว่าจะออกมาด้านดีขนาดนั้นได้ก็ต้องผ่าน "วิกฤต" มาหลายครั้งหลายคราวพอสมควร
เริ่มจากเรื่องการทำอาหารก่อน
จากที่ได้อ่านๆอาจจะดุแบบว่า....ไหนว่าทำไม่เป็น? ทำไมไม่ทำอะไรง่าย? Back to the Basic ดีกว่าไหม? แน่นอน สิ่งที่ทึกคนคิดเหมือนกันนั้นก็คือ ตระกูลไข่ 555+ แน่นอนตอนแรกฉันก็หวังว่า....จะฝากชีวิตไว้กลับมันได้เหมือนกัน แต่......ของแบบนี้ ความสามารถของแต่ละคนก็ต่างกันออกไป 555+ ฉันอยากจะบอกว่าเมนูสารพัดไข่ ยกเว้นไข่ตุ๋น เป็นเมนูที่สามารถฆ่าฉันแบบยกแผงไข่มาแล้วทีเดียว อาจจะคิดว่าอะไรกันเมนูง่ายๆทำไม่ได้หรอ? คำตอบคืดใช่ 555+ เพราะไม่ว่าฉันจะเพียรพยายามทอดกี่ทีๆ มันก็ออกมาเป็นไข่มนุษย์ต่างดาวทุกคราวไป ไม่ว่าจะทั้งดำและเละ จนบางครั้งๆเด็กๆเห็นถึงกับตกใจอุทานว่า.......ไฟไหม้หรอ !?!? พร้อมกับทำตาโตกันสุดริท 5555+ ฉันได้แต่ตอบเสียงอ๋อยๆว่า มันหน้าตาอาจจะแปลกไปสักหน่อย แต่อร่อยนะ (5555+) เด็กๆก้ได้แต่ทำหน้าปูเลี่ยนใส่ ถ้าเด็กใจดีหน่อยก็อาจจะแค่....ทำหน้ากลืนไม่ลง แต่ถ้าเด็กจริงใจโผงผางก็อาจจะเจอ......."ยี้ๆๆๆๆๆไข่อะไรเนี่ยดำมากกกกก ผมกินไม่ได้หรอก ผมกลัววววววววววววววววววววว!!!" (ไม่ได้โอเว่อร์ 555+ พร้อมกับส่งเสียงดังสุดริท ประจานสุดๆ 5555+) ไม่ต้องเดาว่าฉันต้องไปทอดใหม่ใช่ไหม? Nop! ไม่มีทาง เปลี่ยนเมนูเลยดีกว่า 5555+ หลังๆจากประสบการ์ณครั้งนั้น ฉันมักจะทอดดาวเผื่อเสมอ 5555+
อารมณ์ของเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กที่เอาแต่ใจและเคยถูกตามใจ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากอีกเหมือนกันสำหรับคนที่ "ไม่เคยมีลูก" และไม่ได้เรียนทางด้านนี้มาโดยตรง (และถึงแม้เรียนมาโดยตรงก็อาจจะเอาไม่อยู่เช่นกัน) การงอแงของเด็กๆมักจะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่บางครั้งนั้นก็คงจะต้องปราบปรามพวกที่มากจนเกินไป วิธีการของฉันนั้นก็ออกจะแสนโหด มันส์ ฮา กวน จะว่าไปเรามาดูเคสฮาๆที่จะโกรธ ตลก หรือขำดี
ฉัน : อ๊ะพี่ให้เวลาทำ 10 นาทีนะ เพราะที่ผ่านมาชอบโอ้เอ้เสียเวลา
หนุ่มน้อย : โหววววววว (ท้าทายตามประสาอยากลองของ ให้ทำใช่ไหม งั้นเราจะเดินไปกินขนม 555+)
ฉัน : เหลือเวลาอีก 5 นาที
หนุ่มน้อย : อะไรกัน ผมเพิ่งไปกินขนมมา
ฉัน : พี่ให้น้องกินก่อนทำแล้วใช่ไหม? น้องก็บอกว่าอิ่มแล้วใช่ไหม?
หนุ่มน้อย : พยักหน้า (แบบเอออๆๆตูรู้ 555+)
ฉัน : ครบ 10 นาทีพี่เก็บเลย แล้วไม่ต้องเอา Mark ด้วย ใครทำคนนั้นได้
หนุ่มน้อย : ร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์ และไม่ทำเช่นเคย
ฉัน : พอครบ 10 นาทีแป๊ะเก็บเลย พร้อมเขียนให้เห็นๆว่าได้ Mark 0
หนุ่มน้อย : อะไรกันเนี่ย โหวววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว ผมยังไม่ทันตั้งตัวเลย ไอ้บ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ฉัน : อ้าวพูดคำหยาบด้วย
หนุ่มน้อย : ไม่ใช่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆผมว่าผมบ้าเอง ผมมันบ้าเอง ผมไม่น่าเกิดมาเป็นน้องเล็กๆเลย ผมอยากเกิดมาโตบ้างๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ฉัน : (คิดในใจเอาแล้วไงตูมีคนอยากแย่งชิงตำแหน่งออสก้า สาขาดราม่าฝ่ายชายแล้วไง 55555+) ดุไปก็ขำไปด้วยความเอ็นดู 55555555+
ซึ่งแน่นอนที่สุดอะไรก็ตามโดยเฉพาะเด็กที่ไม่เคยโดนบังคับ ไม่ได้ฝึกฝน เป็นธรรมดาที่จะมีปฏิกิริยาต่อต้าน และตัวฉันเองก็มักจะใช้วิธีการนิ่งเฉย ปล่อยให้ร้อง (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าถูกไหม ) ซึ่งบางครั้งเด็กก็หยุดเองเพราะเหนื่อย หรือไม่ก็จะมารังความนด้วยวิธีการต่างๆเช่น ดึงปากกาเราบ้าง ดึงเสื้อเราบ้าง ซึ่งแน่นอนเราก็เผลอกอดและโอ๋ แต่......ตัดภาพไปที่หน้าหนุ่มน้อยของเรา อิอิอิ แอบดีใจ และ.....ร้องหนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว กรี๊ดดดดดดดดดด ทำเอาฉันตกใจว่าเอ๊ะฉันไปโดนปุ่มอะไรหรือเปล่าเนี่ย 5555+ ซึ่งแน่นอนวิชานี้ไม่สามารถถามพี่กู(goolgle) ได้ตลอด ของอย่างนี้ต้องประสบการ์ณเท่านั้น
เวลาตั้งกฏกับเด็กต้องระวัง.......เข้าตัว
ด้วยความที่เด็กมักจะเคยได้อะไรมาง่ายๆ อยากได้อะไรก็ได้ ซึ่งนั้นจะทำให้เราเอาอะไรมาล่อให้ทำความดียากขึ้น นั้นจึงเป็นที่มาของการ ......มีกฏ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นธรรมดาที่ไม่เคยไม่ Challenge ใดๆทั้งสิ้นมาก่อน พอมาเจอการตั้งกฏเก็บคะแนน (Mark) ต่างๆ ก็เป็นธรรมดาที่จะมีการประท้วงกันบ้าง ไม่ว่าไม่ทำตาม ไม่สนใจ กฏอะไร ฉันไม่ต้องการ เพราะคิดว่าจะทำหรือไม่ทำก็ได้ของเล่นของที่ชอบอยู่แล้ว แต่เมื่อเราเข้าไปจัดระเบียบเล็ก เป็นธรรมดาที่กบฏตัวน้อยจะเริ่มก่อม็อบ 5555+ ยิ่งพวกมาก ยิ่งต่อต้านเยอะ แน่นอนเรามีกฏการเก็บคะแนนเพื่อแลกซื้อของต่างๆที่ตั้งใจไว้ โดยให้คะแนนตามความดีของแต่ละคน เช่น ตื่นสายหัก 10 คะแนน ไม่เก็บที่นอน หักอีก 10 คะแนน อะไรก็ว่าไป ซึ่งฉันว่าก็คงสร้างความขมขื่นและขุ่นเคืองในใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว 55555555+ และแล้ววันโลกเปิดก็มาถึง โอกาสทองของเด็กๆ (ฉันต้องขอชมว่าเป้นความฉลาดนะค่ะ เพราะ....) วันนี้เรามีกิจกรรมไปปั่นจักรยานกัน แน่นอน เราต้องมาการใช้ภาษาอังกฤษทบทวนไปด้วย ขณะที่ฉันเป้นคนตั้งคำถามว่านั้นคืออะไร นี้คืออะไร โน่นคืออะไร ถ้าใครตอบได้ก็ให้ปั่นต่อไป ซึ่งแน่นอนเด็กๆตอบได้ และแล้วหายนะก็มาถึง เมื่อรอบนี้แนเปลี่ยนให้เด็กเป็นคนคิดที่จะตั้งคำถามบ้าง
หนุ่มน้อย : What color is the sky?
ฉัน : White, Blue (คิดถึงคำพูดของอาจาร์ยน้องที่สอนมาว่า ต้องทำเป็นไม่รู้ให้น้องตอบบ้าง)
หนุ่มน้อย : White Blue and Yellow 55555+ พี่กิฟท์ตอบผิด พี่กิฟท์เลือกเอาว่าจะให้ผมหักเงินเดือนเท่าไหร่?
ฉัน : ได้แต่เหวอออออออ 555+ และถามออกไปว่า ทำไมต้องหักเงินเดือนพี่ด้วยหล่ะ
หนุ่มน้อย : ก็เวลาผมทำอะไรพี่กิฟท์ก็ชอบหัก Markๆๆๆๆๆๆๆๆ คราวนี้พี่กิฟท์ตอบไม่ได้ก็ต้องกัดเงินเดือนสิ 5555555555555555555+ (หัวเราะอย่างมากกกกกกก)
ฉัน : ได้แต่ขำ (ไม่ออก) 555555555555+
สัตว์เลี้ยงกับเด็กๆ
เคยสังเกตไหมค่ะว่าเด็กที่มีสัตว์เลี้ยงมักจะมีจิตใจที่อ่อนโยน (ไม่นับที่ฆ่าสัตว์ยนะค้า 5555+) อันนี้ฉันค้นพบโดยบังเอิญ สืบเนื่องมาจากกิจกรรมสร้างสรรค์ศิลปะนั้นเอง นั้นก็คือการสร้างบ้านให้น้องแมว เด็กๆดูจะมีวามสุขมากกับการทำสิ่งเหล่านี้ เพราะมันทำให้เด็กได้คิดริเริ่มสร้างสรรค์และที่ดีไปกว่านั้นคือ ฝึกจิตใจที่อ่อนโยน ว่าแล้วเรามาดูบทสนทนาน่ารักๆของเด็กกันดีกว่า
ฉัน : อ่ะวันศุกร์นี้เราจะให้จับฉลากสร้างบ้านให้น้องแมว โดยเอาลังกระดาษมาทำ ทาสี ตกแต่งตามใจชอบ แต่เรามีน้องแมวอยู่ 3 ตัว คือ Kitty แมวพี่, แมวเทาดำ (แมวจรจัดที่ฉันให้อาหาร) , แมวดำ (ลูกแมวตัวเล็ก ลูกของแมวเทาดำ) , พี่ด้วน (กิ๊ก Kitty 555+)
เด็กๆๆ : ไม่เอาพวกเราจะเลือกเอง
พี่สาวคนโต : เจ๊จะเอา kitty เพราะเจ๊ชอบ แล้ว kitty ก็ฉีดยาแล้ว
พี่ชาย (คนรอง) : โหวววว เจ๊ไม่แฟร์อ่ะ ผมก็อยากได้ Kitty เหมือนกัน แมวตัวอื่นผมกอดไม่ได้ ผมกลัวมันกัด
น้องชายคนเล็ก : อี๋ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆแมวดำเป็นแมวผี ผมกลั๊วววววววววววววววววว
ฉัน : เอางี้เอากระดาษมาเดี๋ยวพี่ให้พี่อีกคนเขียนชื่อแมวลงไปแล้วจับฉลากเอา โอเค?
เด็ก : โอเค
ผลที่ได้ก็คือ พี่ชายคนรองได้แมวแม่ดำเทา, น้องชายคนรอง ได้แมวผี เอ้ยยยแมวดำ (แบบไม่สมใจอยาก 5555+) และพี่สาวคนโตสุดได้ kitty ไปครอบครอง แต่........ปัญหามันได้จบแค่นั้นไม่ เพราะชั่วโมงการทำบ้านแมวก็มาถึง และ...................ปัญหาอีกมากมาย
@ Study Room
พี่ชายคนรอง : พี่จะทำบ้านให้แม่แมว แล้วมีห้องครัวด้วย ห้องรับแขกด้วย
น้องชายคนเล็ก : ผมไม่อยากทำเลยอ่ะ ผมไม่ชอบบบบบบบบบบ
พี่สาวคนโต : แกก็ทำๆๆไปเถอะนะ แกทำใช่ว่าแมวมันจะชอบของแก
ฉัน : (ฟังแล้วได้แต่ขำ 5555555++) เอางี้ไหม เพื่อจะได้รุ้ขนาดของบ้านว่าแมวจะอยู่ได้ไหม เราไปวัดตัวแมวกันดีกว่า ป่ะ ไปกันเถอะ
@ บ้านที่ฉันพัก (สวัสดิการดีดีจากเจ้าของบ้านนั้นเอง)
พี่ชายคนรอง : โหววววววว ผมว่าเจ๊โชคดีกว่าคนอื่นอ่ะ ได้ Kitty แถมได้กอดได้ ได้อุ้มได้ แต่แมวผมเนี่ย มันไม่ได้ฉีดยานะ
น้องชายคนเล็ก : แมวของผมน่าตาอัปลักษณ์มากกกกกกก มันเป็นแมวผีๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เจ๊ : (กอดแมว เล่นกับแมว ยิ่งยั่วให้น้องโมโห 55555+) 5555555+ แมวแกกอดไม่ได้ 5555555+
ฉัน : อ๊ะๆ ไม่ต้องเถียงกัน ไปวัดตัวแมวดูดีกว่าไหม (และฉันก็สังเกตพฤติกรรม เพราะกลัวแมวจะตายเสียก่อน 55555555+)
พี่ชายคนรอง : (ท่าทางกล้าๆกลัวๆ) นี้ดูสิพี่จับหัวมันได้แล้ว
น้องชายคนเล็ก : เฮ้ยยยยพี่ระวังติดโรคนะ
ฉัน : (ได้แต่มองแบบขำๆๆฮาๆๆ อมยิ้ม)
พี่ชายคนรอง : น้องๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ น้องไม่จับมันดูแล้วมันจะรู้หรอ
น้องชายคนเล็ก : พี่จับก่อนดิ ดูดิมันไม่ให้ผมจับมันเลย
พี่ชายคนรอง : โหวววววววน้องอ่ะ น้องทำแบบนั้นมันก็กลัวอ่ะดิ มานี้พี่จะสอนวิธี
น้องชายคนเล็ก : เฮ้ยยยยย พี่มันวิ่งหนีอ่ะ
พี่ชายคนรอง : อ้าววก็มันกลัวน้องไง โหวววมานี้พี่จัดการเอง พี่จะบอกนะวิธีการเข้าหาแมวเนี่ยน้องต้อง .........................................Bha bah bah bha bha bha bha bha
ฉัน : (ได้แต่อมยิ้มขำๆ คิดในใจว่า........จากเด็กที่เอาแต่ใจ กรี๊ดดๆๆ พอมาเจอน้องแมวที่ไม่สามารถบังคับได้ ก็สามารถที่จะใช้ความอ่อนโยนและใจเย็นเพื่อสร้างความสนิทกับสัตว์ได้ และดูว่าแม่แมวเทาดำดูจะชอบน้องเสียด้วย ทั้งๆที่ปรกติแมวจรจัดมักจะขี้กลัว ระวังตัว เพราะว่าเจอโลกโหดร้ายมาเยอะ) จากการที่ฉันสังเกตุดูเด็กๆดูจะมีความสุขและจิตใจอ่อนโยนขึ้นมากกกกกกกกกกก โดยเฉพาะพี่ชายคนรองที่ดูจะมีความสุขมากๆกับการสร้างบ้านให้น้องแมวเมียว งานนี้ถือได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น 1.ได้สร้างกิจกรรมดีๆ จากสิ่งเหลือใช้ 2. น้องแมวได้บ้านสำหรับพักพิงกาย หลบลมหนาว และสุดท้ายที่นั้นก็คือ................................เด็กๆที่มีความสุข ได้เห็นแววตาที่อ่อนโยน ความสุขที่แมวเข้าบ้านตัวเอง (555555+ ลุ้นยิ่งกว่าหวยออก 55555555+) เพราะจุดประสงค์ของงานนี้ก็คือเรื่องสุดท้ายนี้นั้นเอง ^^ แค่คิดถึงยังอดอมยิ้มไม่ได้เลยจริงๆ ^00^
วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
เวลาเปลี่ยน....... เราก็ต้องเปลี่ยน
ระยะเวลาที่ทำงานเป็นครูพี่เลี้ยวบ้านหลังแรกนั้น ผ่านไปได้เพียง 2 เดือน ซึ่งก็ถึงกาลที่จะต้องเปลี่ยนครูพี่เลี้ยง ซึ่งสำหรับฉันนั้้น เมื่อเราได้ทำงานนี้แล้วสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั้นก็คือ ความผูกพัน แน่นอนก่อนที่จะมาทำงานครูพี่เลี้ยง ฉันได้มีโอกาสคุยกับคุณแม่ของเด็กบ้าง และได้แชร์ประสบการ์ณวีรกรรมต่างๆที่เพื่อนของเขาเคยเจอ ไม่ว่าจะเป็น ครุพี่เลี้ยงเด็กผันตัวไปเลี้ยงสามีแทน (5555+) , เลี้ยงไปเลี้ยงมาก็นึกว่าเอาว่ะ พาเด็กหนี (แม่ง) ซะเลย (555+ อันนี้คิดว่า ถ้าทำลูกเองคงช้า 555+) และอีกมากมาย แต่ที่ประเด็นใหญ่ๆก็มักจะมีสองเรื่องนี้ที่บรรดาแม่ๆมักจจะกังวล ซึ่งก็คงปฏิเสทไม่ได้ว่า ......เรื่องเหล่านี้มีเกิดขึ้นจริง เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้บรรดาแม่ๆสบายใจได้นั้นคืออะไร ??? และนั้นทำให้ฉันเข้าใจว่าทำไมบริการครูพี่เลี้ยงที่มีบริษัทรับรอง มีสัญญาว่าจ้างที่ดีนั้นจึงจำเป็นและเข้ามามีบทบาทมากในปัจจุบัน เพราะ ..............................
1. มั่นใจได้ >>> ไม่ว่าจะมั่นใจได้ว่า ถ้าโดนยกเค้าก็รู้ว่าเป็นใคร ฟ้องร้องได้ , มั่นใจได้ว่ามีที่มาที่ไป ไม่ใช่เพิ่งข้ามประเทศมา (555+) , เรื่องชู้สาวต่างๆ จะง่ายขึ้นเมื่อคุณสามารถฟ้องนร้องความเสียหายที่ครูพี่เลี้ยง ทำเกินหน้าที่ (ถ้าสอนเด็กเกิน ดูแลเด็กมากเกินไป ก็พอจะเข้าใจ แต่......) ทำหน้าที่แทนแม่ของเด็กนั้นก็คือ ........ อันนี้ก็ต้องเกินกว่าหน้าที่ไปหน่อย 555555+
2. มีเงื่อนไขหรือสัญญาว่าจ้าง >>> ที่อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย ดูแลครอบคลุมทั้งสองฝ่ายอย่างยุติธรรม ไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน
พูดถึงเรื่องการทำงานครูพี่เลี้ยงของฉันต่อดีกว่า ประสบการ์ณสองเดือนแรก ฉันถือว่าประทับใจพอสมควร แม้ก่อนหน้าที่ฉันจะไปทำจะมี Comment ที่ค่อนข้างไปทางน่ากลัว แต่เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนพี่เลี้ยงคนเก่ามาเป็นฉัน หน้าที่ก็ต้องหน้าที่ แม้ในใจจะคิดว่า...... อะไรว่ะ งานแรกก็เจองานหินเลยหรือเนี่ย??? 55555+ แต่พอเมื่อทำไปนานๆ เริ่มเรียนรู้สนิทสนทกับเด็กๆ แน่นอน มันอาจจะมีปัญหามากมายให้ได้แก้ไขเสมอๆ ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาของเด็กๆเท่านั้น แต่ตัวครูพี่เลี้ยงเองก็ต้องพัฒนาไม่หยุดนิ่งเช่นกัน ไม่้ว่าจะเป็น ตัวการ์ตูนต่างๆที่สมัยเราเป้นเด็กกับปัจจุบันก็อาจไม่เหมือนกัน , การเรียนที่เรียกได้ว่ายากพอสมควร โดยเฉพาะแบบฝึกหัดต่างๆ การเรียนที่ต้องพยายามให้เป็นไปตามแบบแผนของทางโรงเรียน (บางครั้งโรงเรียนนานาชาติเหมือนกัน แต่แผนการเรียนก็อาจจะไม่เหมือนกัน) ไม่ว่าจะแบบ British English , American English , ไหนจะมีนานาชาติแบบสิงคโปร์ อะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ซึ่งงานนี้นอกกจากจะช่วยน้องแล้ว เรายังได้ความรู้เพิ่มขึ้น (สำหรับเตรียมตัวเป็นคุณแม่ในอนาคต 555+) ก็ต้องพัฒนากันไป ปรับตัวกันไป
และเมื่อเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงมาถึงสิ่งที่ต้องยอมรับอย่างนึงว่าต้องเกิดขึ้นแน่นอน นั้นก้คือ ความผูกพัน ซึ่งสำหรับฉันแล้วแม้อาจจะไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน แต่ก็ยอมรับว่ายังคิดถึง (แต่ไม่ถึงขนาดอยากเอาเด็กหนีไปด้วยนะค่ะ 5555555+) แค่ทำให้เราเรียนรู้ว่า......เมื่อใดก็ตามที่มีพบก็ต้องมีจาก เป็นธรรมดาของชีวิต จริงไหมค่ะ ^0^
1. มั่นใจได้ >>> ไม่ว่าจะมั่นใจได้ว่า ถ้าโดนยกเค้าก็รู้ว่าเป็นใคร ฟ้องร้องได้ , มั่นใจได้ว่ามีที่มาที่ไป ไม่ใช่เพิ่งข้ามประเทศมา (555+) , เรื่องชู้สาวต่างๆ จะง่ายขึ้นเมื่อคุณสามารถฟ้องนร้องความเสียหายที่ครูพี่เลี้ยง ทำเกินหน้าที่ (ถ้าสอนเด็กเกิน ดูแลเด็กมากเกินไป ก็พอจะเข้าใจ แต่......) ทำหน้าที่แทนแม่ของเด็กนั้นก็คือ ........ อันนี้ก็ต้องเกินกว่าหน้าที่ไปหน่อย 555555+
2. มีเงื่อนไขหรือสัญญาว่าจ้าง >>> ที่อย่างน้อยก็เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย ดูแลครอบคลุมทั้งสองฝ่ายอย่างยุติธรรม ไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน
พูดถึงเรื่องการทำงานครูพี่เลี้ยงของฉันต่อดีกว่า ประสบการ์ณสองเดือนแรก ฉันถือว่าประทับใจพอสมควร แม้ก่อนหน้าที่ฉันจะไปทำจะมี Comment ที่ค่อนข้างไปทางน่ากลัว แต่เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนพี่เลี้ยงคนเก่ามาเป็นฉัน หน้าที่ก็ต้องหน้าที่ แม้ในใจจะคิดว่า...... อะไรว่ะ งานแรกก็เจองานหินเลยหรือเนี่ย??? 55555+ แต่พอเมื่อทำไปนานๆ เริ่มเรียนรู้สนิทสนทกับเด็กๆ แน่นอน มันอาจจะมีปัญหามากมายให้ได้แก้ไขเสมอๆ ไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาของเด็กๆเท่านั้น แต่ตัวครูพี่เลี้ยงเองก็ต้องพัฒนาไม่หยุดนิ่งเช่นกัน ไม่้ว่าจะเป็น ตัวการ์ตูนต่างๆที่สมัยเราเป้นเด็กกับปัจจุบันก็อาจไม่เหมือนกัน , การเรียนที่เรียกได้ว่ายากพอสมควร โดยเฉพาะแบบฝึกหัดต่างๆ การเรียนที่ต้องพยายามให้เป็นไปตามแบบแผนของทางโรงเรียน (บางครั้งโรงเรียนนานาชาติเหมือนกัน แต่แผนการเรียนก็อาจจะไม่เหมือนกัน) ไม่ว่าจะแบบ British English , American English , ไหนจะมีนานาชาติแบบสิงคโปร์ อะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ซึ่งงานนี้นอกกจากจะช่วยน้องแล้ว เรายังได้ความรู้เพิ่มขึ้น (สำหรับเตรียมตัวเป็นคุณแม่ในอนาคต 555+) ก็ต้องพัฒนากันไป ปรับตัวกันไป
และเมื่อเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลงมาถึงสิ่งที่ต้องยอมรับอย่างนึงว่าต้องเกิดขึ้นแน่นอน นั้นก้คือ ความผูกพัน ซึ่งสำหรับฉันแล้วแม้อาจจะไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน แต่ก็ยอมรับว่ายังคิดถึง (แต่ไม่ถึงขนาดอยากเอาเด็กหนีไปด้วยนะค่ะ 5555555+) แค่ทำให้เราเรียนรู้ว่า......เมื่อใดก็ตามที่มีพบก็ต้องมีจาก เป็นธรรมดาของชีวิต จริงไหมค่ะ ^0^
วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
เริ่มงานแรก
งานแรกที่ฉันได้รับมอบหมายมานั้น ถือว่าเป็นงานที่ท้าทายความสามารถน่าดู เพราะนอกเหนือจากการสอนการบ้านแล้ว (ซึ่งก็ยอมรับว่ายากพอสมควรและยังต้องพัฒนาอีกมาก) ยังมีหน้าที่ที่เพิ่มเติมมาอีกนั้นก็คือ การทำอาหาร!!!!!!
OMG!! เป็นคำอุทานที่แทนความรู้สึกตอนนั้นได้เป็นอย่างดี คิดในใจทำไงดีว่ะ(กู)??? ว่าแล้ว The Show Must go on คิด คิด คิด คิด พยายามขุดคุ้ยความรู้ทางด้านการทำอาหารที่มี ซึ่ง..........หาไม่เจอ 5555+ จำได้เลือนลางมากกกกกกกกกก 555+ ว่าแล้วก็เอาว่ะ ไม่มีอะไรในโลกที่ทำไม่ได้ ถ้าเราพยายามก่อน ว่าแล้วก้เอาหล่ะว่ะ พึ่งพี่กู(Google)นี้แหล่ะ พร้อมทั้งขอความรู้จากแม่บ้าง และแล้วก็ออกมาเป็นเมนูต่างๆ ที่เรียกได้ว่า.......พอใช้ได้ (เพราะเด็กๆยังรีเควทบ้างนั้นเอง)
ว่าแล้วมาดูเมนูอาหารต่างๆ เผื่อพี่เลี้ยงท่านใดอยากนำไปใช้บ้างก็ยินดีค่ะ
เมนูแรก ขอตั้งชื่อว่า : ไข่ Angry Bird
ส่วนผสม : ก็คล้ายๆกับหมูปั้นทอดนั้นเอง ฮา!
1. หมูบด
2.น้ำตาล
3.น้ำปลา
4.น้ำมันหอย
5.ชีส (ชีสแผ่นหันเป็นสี่เหลี่ยมเล้ก เอาไว้ใส่ในหมูปั้น)
ส่วนผสม รังของ Angry Bird : ได้ Idea มาจาก Onion Ring
1. หอมหัวใหญ่ ซอยเป็นแว่นกลมๆ
2. แป้งโกกิ
3. น้ำ
วิธีทำ :
1. ใส่หมุบด น้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย คลุกเคล้าให้เข้ากัน หลังจากนั้นพักไว้สักครู่
2. นำหมูบดมาปั้นเป้นก้อน ทำรูตรงกลาง ยัดชีสแผ่นใส่ลงไป ปิดให้มิด 555+
3. นำไปทอดด้วยไฟปานกลาง ถึงอ่อน (มือใหม่หัดจวัก อย่าได้ฮึกเฮิม 555+)
ขอข้ามวิธีการตักออกจากน้ำมัน เพราะนั้นคาดว่าคงรู้แล้ว 5555+
4. ถึงเวลาทำรังนก Angry Bird โดยนำหัวหอมมาคลุกแป้งโกกิ (มีเคล็ดลับนิดนึงตรงที่ใช้น้ำเย็นเจี๊ยบและใส่น้ำแข็งก้อนไปด้วย เพราะจะทำให้ทอดออกมากร๊อบบบบกรอบ ถามชาวบ้านมาอีกที5555+) ถอดเสร็จช้อนขึ้นมาเสด็ดน้ำมัน
5. จัดใส่จานให้งามเงิบโดยนำรังวางก่อน แล้วค่อยตามด้วยหมูทอด อาจมีน้ำจิ้มบ๊วย หรือจะราดน้ำสลัด ก็อร่อยเกิด เริ่ดดดดดดด!แน่นอน
เมนูที่ 2 : ไก่อบซอสมะเขือเทศ (อันนี้ได้สูตรมาจากแม่)
เมนูนี้เราจะทำน้ำซอสมะเขือเทศเอง และเหมาะสำหรับเด็กที่ชอบ "ผักแปรงร่าง" 555+ คืดไม่เห็นสภาพก่อนมาเป็นน้ำซอสนั้นเอง
ส่วนผสม :
1. ไก่ (อก น่อง สะโพก เลือกเอาที่ชอบ) หมักกับนมสดและน้ำมันพืช (ทั้งสองอย่างมีคุณสมบัติทำให้เนื้อนุ๊มมมนุ่ม)
2. มะเขือเทศ ขอแบบจัดเต็ม สัก 6- 8 ลูก
3. หอมหัวใหญ่ ใส่ไม่ยั้ง(กรุณาหั่นด้วยนะค่ะ ถนัดไถ สไล ซอย แว่น ตามใจชอบเพราะเวลาตุ๋นไปก็และอยุ่ดี 555+) สักประมาณ 4- 5 ลูก
4. น้ำตาล น้ำปลา น้ำมันหอย
วิธีการทำ :
1. หมักไก่กับนมสดและน้ำมันพืช ทิ้งไว้สัก 1/2 -1 ชม. เพื่อให้เนื้อนุ่ม
2. เตรียมมะเขือเทศ โดยการต้มน้ำร้อนให้เดือด นำมะเขือเทศลงไปต้ม รอจนมะเขือเทศแตก คือเปลือกมันจะปริๆ จะได้ลอกเปลือกง่ายๆ เมื่อเปลือกแตกแล้วให้ตักใส่น้ำเย็นธรรมดา (ไม่ต้องจัดนะค่ะ 555+) ค่อยๆลอกเปลือกมะเขือเทศออก พักไว้
3. ตั้งกะทะ/ หม้อใบกลาง ใส่น้ำประมาณ 3 ส่วน สี่ ตักมะเขือเทศที่ลอกเปลือกแล้วใส่ลงไป ตามด้วยหอมหัวใหญ่ซอย ตักไก่ใส่ลงไปวางชั้นบนสุด ปิดฝา ตั้งไฟปานกลาง ตุ๋น/เคี่ยวไปเรื่อยๆ (อาจเปลืองแก๊ซบ้างอะไรบ้าง ฮ่าๆ) ไม่ต้องคนใดๆทั้งสิ้น เดี๋ยวมันจะละลายเอง
4. เมื่อทุกอย่างเละเป็นเนื้อเดียวกัน ให้เติมน้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย ลงไป ที่ให้เติมที่หบังเพราะว่า เราจะได้ความหวานของหัวหอมและอมเปรี้ยวนิดๆจากมะเขือเทศ ต้องระวังอย่าให้ไก่มากกว่าผัก แต่ผักมากกว่าไก่ได้ เพราะเราสามารถเอาน้ำซอสไปฟรีซเก็บ เมื่อเราจะเติมไก่เพิ่มลงไปก็เอามาเคี่ยว หรือใครอบทานสปาเก็ตตี้ก็นำมาราดบนสปาเก็ตตี้ได้
เมนูที่ 3 : ข้าวต้มแดงธัญพืชหลากสี (ตั้งชื่อให้น่ารัก เริ่ดๆว่า Rainbow Congee)
เมนูนี้ท่านได้แต่ใดมา? 555+ ฉันขอสารภาพบาปว่าจับพลัดจับพูอย่างแรง เพราะเนื่องจากว่าหันซ้ายแลขวา เห็นข้าวแดงที่คุณตาของหลานนำมาให้ พร้อมสรรพคุณดีๆมากมาย จนแล้วจนรอดก็ไม่มีโอกาสได้ทำ แต่แล้ว.............โอกาสก็มาถึง!!!! 555+
ส่วนผสม : ได้มาอย่างง และโครต......งวย (งงงวย) นั้นเอง 555+
1. ข้าวแดง ข้าวกล้อง ข้าวที่มีประโยชน์ทั้งหลาย
2.น่องไก่
3.ข้าวโพดอ่อน
4. งาดำ (ปรกติแล้วเด็กๆมันจะไม่ชอบงา เพราะเห็นมันดำๆ แต่เนื่องจากฉันเชื่อว่างาดำนั้นกินแล้วดีมาก เนื่องจากแม่ดิฉันเองก็กินตั้งแต่เด็กๆ สรรพคุณก้ไม่มากไม่มาย แค่กินแล้ว..........สวย เอ้ยย! กินแล้วดีกับกระดูก ผม แค่นั้นเอง)
5. น้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย
วิธีทำ :
1. เรื่มจากนำข้าวไปต้มในหม้อ ผสมข้าวกับน้ำเข้าด้วยกัน
2. เอาหม้อมาอีกใบ (555+ บอกจรงๆว่า ไม่เข้าใจว่าจะเยอะไปทำไหม??? แต่สุดท้าย ก็คิดว่า ดีนะที่เยอะแต่แรก 555+) ใส่น้ำ เติมเครื่องปรุง น้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย คนให้เท่ากัน เติมน้องได้ลงไป ใช้ไฟอ่อนๆ เพื่อค่อยๆตุ๋น ตุ๋ย...เอ้ยย ตุ๋นไปเรื่อยๆ จนใกล้สุก ก็หั่นข้าวโพดอ่อนใส่ลงไป ตุ๋นไปเรื่อยๆ
3. Mix together 555+ น้ำหม้อที่ตุ๋นน่องไก๋ เอามารวมกับหม้อที่ต้มข้าวแดง ปสมให้เข้าเข้ากัน เคี่ยวไปเรื่อยๆ จนเป็นเนื้อเดียวกัน ปิดไฟ โรยงาดำ (ถ้ามีงาขาว หรือธัญพืชอื่นๆที่ดีก็สามารถโรยลงไปได้) คลุกเคล้าให้เข้ากัน เวลาเด็กๆทานก็จะไม่เห็น
ปล. สามารถคั่วงาดำเก็บไว้ใส่กระปุก ตั้งโต๊ะกินข้าวไว้ เวลาทานข้าว ก็โรยข้าวสวยร้อนๆสักหน่อย อย่างน้อยก็ดีกับคนที่ไม่ได้ทานนมบ่อยๆ ลองดูนะค่ะ
เมนูที่ 4 : ทูน่าผัดกะเพราะ (ง่าย 5 ดาวเลยทีเดียว 555+)
ส่วนผสม :
1. ปลาทูน่าในน้ำมันกระป๋อง
2. น้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย
3. ใบกะเพรา (จริงๆเมนูจะผัดเพียวๆ ไม่ใส่กระเพราก็ Yummy หลายเด้อค่าเด้อ)
วิธีทำ :
1. เทปลาทูน่าในน้ำมันลงกะทะ (ไม่ต้องใส่น้ำมัน)
2. เติมเครื่องปรุงน้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย ปรุงรสตามใจชอบ ถ้าต้องการเพิ่มน้ำคลุกคลิกก็เพิ่มน้ำได้นะค่ะ
3. ใส่กะเพราลงไป ผัดสักพัก ตักใส่จาน หม่ำกับข้าวสวยร้อนๆที่คลุกเคล้ากับงา ฮึ่มมมมมมม.........โออิชิ เดส 5555+
เมนูเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ได้ทำ ซึ่งก้เพิ่งค้นพบว่าเวลาทำอาหารมักจะร้องเพลงอยู่เสมอ 555+ และมักจะมีคนทักว่ามีความสุขจริงๆเลยนะ เวลาทำอาหารเนี่ย จะว่าไปบางครั้งถ้าเราได้ลองทำอะไรที่เราคิดว่าเราไม่น่าจะทำได้ (เพราะไม่เคยคิดจะทำ 55+) ก้ทำให้ได้ค้นพบความสุขเล็กๆเช่นกัน แล้วจะมาเล่าประสบการ์ณสนุกๆอีกนะค่ะ
อ้อ.........ลืมเล่าไป เรื่อง Feedback ก้...........จริงใจมว๊ากกกกกกกกกก 555+ เช่น รสชาดแย่มากกกกกก(แต่เติมข้าวและกอนหมดเกลี้ยง 555+) , นี้มันอะไรเนี่ยหน้าตาน่าเกลียดดดดดดดดดด (ยึกยักอยู่นานนนนนว่าจะตัก ไม่ตัก แต่สุดท้ายก็ลองดู แล้วก็พอผ่านไปได้) แต่จะว่าไปแต่ละครั้งที่มี Comment มาต่างๆนานา โดยเฉพาะผู้ชิมคือเด็กน้อย (ที่แสนจะเอาใจ........ยากกกกก 555+) ก็ถือเป็นความท้าทายอย่างนึงที่ทำให้เลือดในร่างกายสูบฉัด (มว๊ากกกกกก 555+) และในขณะเดียวกันก็ทำให้เราได้.....ลงมือทำจริงๆ (ที่ผ่านมักจะเป็นแบบ "สร้างภาพ" ซะมากกว่า 555+ ) ที่สำคัญทำให้ฉันได้ค้นพบว่า........ทุกครั้งที่ฉันทำอาหารฉันมักจะมีความสุขที่ได้ Create อาหารแปลกๆ แบบใหม่ๆ ให้เด็กตัวน้อยๆ (ซึ่งก็แล้วแต่อารมณือีก 5555+ เพราะบางครั้งอะไรที่เคยทำแล้วบอกว่าอร่อย พอทำอีกที ปรุงแบบเดิม แต่เด็กน้อยๆก็อาจจะบอกว่าไม่อร่อยก็ได้ 5555+) เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่ท้าทาย แต่................อาจจะกลายเป็นต้องทำใหม่หรือทำเพิ่มเลยก็ได้ 555555555555+
OMG!! เป็นคำอุทานที่แทนความรู้สึกตอนนั้นได้เป็นอย่างดี คิดในใจทำไงดีว่ะ(กู)??? ว่าแล้ว The Show Must go on คิด คิด คิด คิด พยายามขุดคุ้ยความรู้ทางด้านการทำอาหารที่มี ซึ่ง..........หาไม่เจอ 5555+ จำได้เลือนลางมากกกกกกกกกก 555+ ว่าแล้วก็เอาว่ะ ไม่มีอะไรในโลกที่ทำไม่ได้ ถ้าเราพยายามก่อน ว่าแล้วก้เอาหล่ะว่ะ พึ่งพี่กู(Google)นี้แหล่ะ พร้อมทั้งขอความรู้จากแม่บ้าง และแล้วก็ออกมาเป็นเมนูต่างๆ ที่เรียกได้ว่า.......พอใช้ได้ (เพราะเด็กๆยังรีเควทบ้างนั้นเอง)
ว่าแล้วมาดูเมนูอาหารต่างๆ เผื่อพี่เลี้ยงท่านใดอยากนำไปใช้บ้างก็ยินดีค่ะ
เมนูแรก ขอตั้งชื่อว่า : ไข่ Angry Bird
ส่วนผสม : ก็คล้ายๆกับหมูปั้นทอดนั้นเอง ฮา!
1. หมูบด
2.น้ำตาล
3.น้ำปลา
4.น้ำมันหอย
5.ชีส (ชีสแผ่นหันเป็นสี่เหลี่ยมเล้ก เอาไว้ใส่ในหมูปั้น)
ส่วนผสม รังของ Angry Bird : ได้ Idea มาจาก Onion Ring
1. หอมหัวใหญ่ ซอยเป็นแว่นกลมๆ
2. แป้งโกกิ
3. น้ำ
วิธีทำ :
1. ใส่หมุบด น้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย คลุกเคล้าให้เข้ากัน หลังจากนั้นพักไว้สักครู่
2. นำหมูบดมาปั้นเป้นก้อน ทำรูตรงกลาง ยัดชีสแผ่นใส่ลงไป ปิดให้มิด 555+
3. นำไปทอดด้วยไฟปานกลาง ถึงอ่อน (มือใหม่หัดจวัก อย่าได้ฮึกเฮิม 555+)
ขอข้ามวิธีการตักออกจากน้ำมัน เพราะนั้นคาดว่าคงรู้แล้ว 5555+
4. ถึงเวลาทำรังนก Angry Bird โดยนำหัวหอมมาคลุกแป้งโกกิ (มีเคล็ดลับนิดนึงตรงที่ใช้น้ำเย็นเจี๊ยบและใส่น้ำแข็งก้อนไปด้วย เพราะจะทำให้ทอดออกมากร๊อบบบบกรอบ ถามชาวบ้านมาอีกที5555+) ถอดเสร็จช้อนขึ้นมาเสด็ดน้ำมัน
5. จัดใส่จานให้งามเงิบโดยนำรังวางก่อน แล้วค่อยตามด้วยหมูทอด อาจมีน้ำจิ้มบ๊วย หรือจะราดน้ำสลัด ก็อร่อยเกิด เริ่ดดดดดดด!แน่นอน
เมนูที่ 2 : ไก่อบซอสมะเขือเทศ (อันนี้ได้สูตรมาจากแม่)
เมนูนี้เราจะทำน้ำซอสมะเขือเทศเอง และเหมาะสำหรับเด็กที่ชอบ "ผักแปรงร่าง" 555+ คืดไม่เห็นสภาพก่อนมาเป็นน้ำซอสนั้นเอง
ส่วนผสม :
1. ไก่ (อก น่อง สะโพก เลือกเอาที่ชอบ) หมักกับนมสดและน้ำมันพืช (ทั้งสองอย่างมีคุณสมบัติทำให้เนื้อนุ๊มมมนุ่ม)
2. มะเขือเทศ ขอแบบจัดเต็ม สัก 6- 8 ลูก
3. หอมหัวใหญ่ ใส่ไม่ยั้ง(กรุณาหั่นด้วยนะค่ะ ถนัดไถ สไล ซอย แว่น ตามใจชอบเพราะเวลาตุ๋นไปก็และอยุ่ดี 555+) สักประมาณ 4- 5 ลูก
4. น้ำตาล น้ำปลา น้ำมันหอย
วิธีการทำ :
1. หมักไก่กับนมสดและน้ำมันพืช ทิ้งไว้สัก 1/2 -1 ชม. เพื่อให้เนื้อนุ่ม
2. เตรียมมะเขือเทศ โดยการต้มน้ำร้อนให้เดือด นำมะเขือเทศลงไปต้ม รอจนมะเขือเทศแตก คือเปลือกมันจะปริๆ จะได้ลอกเปลือกง่ายๆ เมื่อเปลือกแตกแล้วให้ตักใส่น้ำเย็นธรรมดา (ไม่ต้องจัดนะค่ะ 555+) ค่อยๆลอกเปลือกมะเขือเทศออก พักไว้
3. ตั้งกะทะ/ หม้อใบกลาง ใส่น้ำประมาณ 3 ส่วน สี่ ตักมะเขือเทศที่ลอกเปลือกแล้วใส่ลงไป ตามด้วยหอมหัวใหญ่ซอย ตักไก่ใส่ลงไปวางชั้นบนสุด ปิดฝา ตั้งไฟปานกลาง ตุ๋น/เคี่ยวไปเรื่อยๆ (อาจเปลืองแก๊ซบ้างอะไรบ้าง ฮ่าๆ) ไม่ต้องคนใดๆทั้งสิ้น เดี๋ยวมันจะละลายเอง
4. เมื่อทุกอย่างเละเป็นเนื้อเดียวกัน ให้เติมน้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย ลงไป ที่ให้เติมที่หบังเพราะว่า เราจะได้ความหวานของหัวหอมและอมเปรี้ยวนิดๆจากมะเขือเทศ ต้องระวังอย่าให้ไก่มากกว่าผัก แต่ผักมากกว่าไก่ได้ เพราะเราสามารถเอาน้ำซอสไปฟรีซเก็บ เมื่อเราจะเติมไก่เพิ่มลงไปก็เอามาเคี่ยว หรือใครอบทานสปาเก็ตตี้ก็นำมาราดบนสปาเก็ตตี้ได้
เมนูที่ 3 : ข้าวต้มแดงธัญพืชหลากสี (ตั้งชื่อให้น่ารัก เริ่ดๆว่า Rainbow Congee)
เมนูนี้ท่านได้แต่ใดมา? 555+ ฉันขอสารภาพบาปว่าจับพลัดจับพูอย่างแรง เพราะเนื่องจากว่าหันซ้ายแลขวา เห็นข้าวแดงที่คุณตาของหลานนำมาให้ พร้อมสรรพคุณดีๆมากมาย จนแล้วจนรอดก็ไม่มีโอกาสได้ทำ แต่แล้ว.............โอกาสก็มาถึง!!!! 555+
ส่วนผสม : ได้มาอย่างง และโครต......งวย (งงงวย) นั้นเอง 555+
1. ข้าวแดง ข้าวกล้อง ข้าวที่มีประโยชน์ทั้งหลาย
2.น่องไก่
3.ข้าวโพดอ่อน
4. งาดำ (ปรกติแล้วเด็กๆมันจะไม่ชอบงา เพราะเห็นมันดำๆ แต่เนื่องจากฉันเชื่อว่างาดำนั้นกินแล้วดีมาก เนื่องจากแม่ดิฉันเองก็กินตั้งแต่เด็กๆ สรรพคุณก้ไม่มากไม่มาย แค่กินแล้ว..........สวย เอ้ยย! กินแล้วดีกับกระดูก ผม แค่นั้นเอง)
5. น้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย
วิธีทำ :
1. เรื่มจากนำข้าวไปต้มในหม้อ ผสมข้าวกับน้ำเข้าด้วยกัน
2. เอาหม้อมาอีกใบ (555+ บอกจรงๆว่า ไม่เข้าใจว่าจะเยอะไปทำไหม??? แต่สุดท้าย ก็คิดว่า ดีนะที่เยอะแต่แรก 555+) ใส่น้ำ เติมเครื่องปรุง น้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย คนให้เท่ากัน เติมน้องได้ลงไป ใช้ไฟอ่อนๆ เพื่อค่อยๆตุ๋น ตุ๋ย...เอ้ยย ตุ๋นไปเรื่อยๆ จนใกล้สุก ก็หั่นข้าวโพดอ่อนใส่ลงไป ตุ๋นไปเรื่อยๆ
3. Mix together 555+ น้ำหม้อที่ตุ๋นน่องไก๋ เอามารวมกับหม้อที่ต้มข้าวแดง ปสมให้เข้าเข้ากัน เคี่ยวไปเรื่อยๆ จนเป็นเนื้อเดียวกัน ปิดไฟ โรยงาดำ (ถ้ามีงาขาว หรือธัญพืชอื่นๆที่ดีก็สามารถโรยลงไปได้) คลุกเคล้าให้เข้ากัน เวลาเด็กๆทานก็จะไม่เห็น
ปล. สามารถคั่วงาดำเก็บไว้ใส่กระปุก ตั้งโต๊ะกินข้าวไว้ เวลาทานข้าว ก็โรยข้าวสวยร้อนๆสักหน่อย อย่างน้อยก็ดีกับคนที่ไม่ได้ทานนมบ่อยๆ ลองดูนะค่ะ
เมนูที่ 4 : ทูน่าผัดกะเพราะ (ง่าย 5 ดาวเลยทีเดียว 555+)
ส่วนผสม :
1. ปลาทูน่าในน้ำมันกระป๋อง
2. น้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย
3. ใบกะเพรา (จริงๆเมนูจะผัดเพียวๆ ไม่ใส่กระเพราก็ Yummy หลายเด้อค่าเด้อ)
วิธีทำ :
1. เทปลาทูน่าในน้ำมันลงกะทะ (ไม่ต้องใส่น้ำมัน)
2. เติมเครื่องปรุงน้ำปลา น้ำตาล น้ำมันหอย ปรุงรสตามใจชอบ ถ้าต้องการเพิ่มน้ำคลุกคลิกก็เพิ่มน้ำได้นะค่ะ
3. ใส่กะเพราลงไป ผัดสักพัก ตักใส่จาน หม่ำกับข้าวสวยร้อนๆที่คลุกเคล้ากับงา ฮึ่มมมมมมม.........โออิชิ เดส 5555+
เมนูเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ได้ทำ ซึ่งก้เพิ่งค้นพบว่าเวลาทำอาหารมักจะร้องเพลงอยู่เสมอ 555+ และมักจะมีคนทักว่ามีความสุขจริงๆเลยนะ เวลาทำอาหารเนี่ย จะว่าไปบางครั้งถ้าเราได้ลองทำอะไรที่เราคิดว่าเราไม่น่าจะทำได้ (เพราะไม่เคยคิดจะทำ 55+) ก้ทำให้ได้ค้นพบความสุขเล็กๆเช่นกัน แล้วจะมาเล่าประสบการ์ณสนุกๆอีกนะค่ะ
อ้อ.........ลืมเล่าไป เรื่อง Feedback ก้...........จริงใจมว๊ากกกกกกกกกก 555+ เช่น รสชาดแย่มากกกกกก(แต่เติมข้าวและกอนหมดเกลี้ยง 555+) , นี้มันอะไรเนี่ยหน้าตาน่าเกลียดดดดดดดดดด (ยึกยักอยู่นานนนนนว่าจะตัก ไม่ตัก แต่สุดท้ายก็ลองดู แล้วก็พอผ่านไปได้) แต่จะว่าไปแต่ละครั้งที่มี Comment มาต่างๆนานา โดยเฉพาะผู้ชิมคือเด็กน้อย (ที่แสนจะเอาใจ........ยากกกกก 555+) ก็ถือเป็นความท้าทายอย่างนึงที่ทำให้เลือดในร่างกายสูบฉัด (มว๊ากกกกกก 555+) และในขณะเดียวกันก็ทำให้เราได้.....ลงมือทำจริงๆ (ที่ผ่านมักจะเป็นแบบ "สร้างภาพ" ซะมากกว่า 555+ ) ที่สำคัญทำให้ฉันได้ค้นพบว่า........ทุกครั้งที่ฉันทำอาหารฉันมักจะมีความสุขที่ได้ Create อาหารแปลกๆ แบบใหม่ๆ ให้เด็กตัวน้อยๆ (ซึ่งก็แล้วแต่อารมณือีก 5555+ เพราะบางครั้งอะไรที่เคยทำแล้วบอกว่าอร่อย พอทำอีกที ปรุงแบบเดิม แต่เด็กน้อยๆก็อาจจะบอกว่าไม่อร่อยก็ได้ 5555+) เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่ท้าทาย แต่................อาจจะกลายเป็นต้องทำใหม่หรือทำเพิ่มเลยก็ได้ 555555555555+
วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
Start Nanny's Life
หลายคนอาจจะสงสัยว่าคำว่า nanny นั้นคืออะไร ก็ง่ายๆสั้น นั้นก็คือ พี่เลี้ยง ซึ่งแต่ก่อนอาชีพพี่เลี้ยงเด็กมักจะถูกเหมารวมว่างานเหล่านั้นมักจะไม่ต้องใช้ความรู้อะไรมากมาย แต่เมื่อเกิดเหตุการ์ณพี่เลี้ยงต่างด้าวขึ้นซึ่งมักจะมาพร้อมกับข่าวหน้าหนึ่งบ้าง (ฮา!) ทำไมให้พี่เลี้ยงต่างด้าวเลี้ยงลูกไปๆมาๆ ลูกสำเนียงเพี๊ยนๆ เอ๊ะ......หรือนั้นคือ สำเนียงต่างชาติ (ฮา!) ซึ่งแน่นอนว่าในระดับตัวเงินที่คุ้มกับหน้าที่แค่เลี้ยงเด็กก๊อกๆแก๊กๆที่ผ่านมาจึงถูกมองข้ามและประเมินว่า.......ถูก = ดี ของแบบนี้เป็นเรื่องความต้องการส่วนบุคคล และแน่นอน ในชีวิตของฉันไม่เค้ยยยยย ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้มาทำหน้าที่นี้ใน......ประเทศไทย (555+ เพราะอย่างที่รู้ๆ ออแพร์ต่างชาติได้เงินดีกว่าเยอะ แต่เนื่องจากเดี๋ยวนี้เขาก็พัฒนามาตราฐาน Up grade พี่เลี้ยงให้มีความเชี่ยวชาญและความรู้มากขึ้นกว่าเดิม นั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงต้องได้รับใบรับรองก่อนไปทำงาน) และอีกหลายเหตุผล ไม่ว่าจะฉันไม่เคยอยากจะมีลูก (แต่ไม่ใช่ไม่ชอบเด็กนะค่ะ) แต่เพราะมีความเห็นแก่ตัวเยอะ 555+ แต่และแล้วกฎแห่งกรรมก็ทำให้ฉันได้มาลองสัมผัส ได้มีโอกาสมาทำหน้าที่คุณครูอยู่บ้านหรือครูพี่เลี้ยงนั้นเอง และแน่นอนยิ่งทำก็ยิ่งได้เจอเด็กหลากหลายวัย เหมือนได้ทดลองการเป็นคุณแม่ไปในตัว อิอิอิ แต่ที่แน่ๆ ฉันรู้สึกมีความสุขและเอนจอยกับงานที่ทำมากๆเลย
บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้มีแบบแผนอย่างที่เราคาดหวังไว้ แต่สำหรับฉัน สิ่งที่ฉันหวังไว้มักจะเป้นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ และตอนนี้งานที่ฉันทำก็ทำให้ฉันมีความสุข แน่นอนมักมีคนพูดว่า.....บางคนอาจได้ทำในงานที่รัก แต่ไม่ได้เงินตามที่เราต้องการ, บางคนได้เงินตามที่ต้องการ แต่ไม่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก ....สำหรับฉันตอนนี้ฉันมีความสุขมากที่ได้ทำทั้งงานที่ฉันรักและได้เงินที่อยู่ในระดับที่ฉันพอใจ Really Happy ^0^
บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้มีแบบแผนอย่างที่เราคาดหวังไว้ แต่สำหรับฉัน สิ่งที่ฉันหวังไว้มักจะเป้นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ และตอนนี้งานที่ฉันทำก็ทำให้ฉันมีความสุข แน่นอนมักมีคนพูดว่า.....บางคนอาจได้ทำในงานที่รัก แต่ไม่ได้เงินตามที่เราต้องการ, บางคนได้เงินตามที่ต้องการ แต่ไม่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก ....สำหรับฉันตอนนี้ฉันมีความสุขมากที่ได้ทำทั้งงานที่ฉันรักและได้เงินที่อยู่ในระดับที่ฉันพอใจ Really Happy ^0^
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)